กิ่งแก้ว ลอสูงเนิน คดีดัง "ฉันไม่ผิด" เพชฌฆาตยิงถึง 15 นัด

Last updated: 2 มิ.ย. 2566  |  914 จำนวนผู้เข้าชม  | 

กิ่งแก้ว ลอสูงเนิน คดีดัง "ฉันไม่ผิด" เพชฌฆาตยิงถึง 15 นัด

ประวัติและการก่อคดี
กิ่งแก้ว ลอสูงเนิน เป็นผู้ต้องโทษประหารชีวิตหญิงคนที่ 2 ของประเทศไทยด้วยการยิงเป้าในปี พ.ศ. 2522 ในข้อหาลักพาตัวเด็กไปเพื่อฆ่า[1] ต่อจาก นาง ใย สนบำรุง ซึ่งเป็นผู้ต้องโทษประหารชีวิตหญิงคนที่ 1 ของประเทศไทยด้วยการยิงเป้า ในปี พ.ศ. 2482 และต่อมา นาง สมัย ปานอินทร์ ซึ่งเป็นผู้ต้องโทษประหารชีวิตหญิงคนที่ 3 ของประเทศไทยด้วยการยิงเป้า ในปี พ.ศ. 2542 และเป็นผู้หญิงรายล่าสุดที่ถูกประหารชีวิตในประเทศไทย
กิ่งแก้วเดิมเป็นคนต่างจังหวัด ต่อมาเดินทางเข้ามาหางานทำในกรุงเทพมหานคร มีประวัติรักษาอาการทางจิตเวชที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา หลังการรักษาได้ไปทำงานเป็นแม่บ้านและพี่เลี้ยงเด็กในร้านอาหารสมบูรณ์โภชนาซึ่งดำเนินกิจการโดยพิชัยและจิตรา ศรีเจริญสุขยิ่ง ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2521 หลังจากทำงานได้เพียง 2 เดือนกิ่งแก้วถูกจิตราไล่ออกในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2521[2] เนื่องจากไม่ได้ทำงานอื่นนอกจากดูแล ด.ช. วีระชัย บุตรชาย วัย 6 ปี ของครอบครัวศรีเจริญสุขยิ่ง กิ่งแก้วจึงมีความแค้นประกอบกับต้องการเงิน จึงปรึกษากับปิ่น พึ่งญาติ แฟนหนุ่มวัย 28 ปี ซึ่งมีประวัติอาชญากรรมโชกโชน ได้แนะนำให้ลักพาตัวเด็กเพื่อเรียกค่าไถ่ เมื่อเห็นดีด้วยแล้วจึงเริ่มก่อการโดยร่วมกับ ทองม้วน โกบโคกกรวด, ทองสุข พู่วิเศษ, เกษม สิงห์ลา และสะธิ สีดี[1]

แผนการเริ่มขึ้น โดยในวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2521 กิ่งแก้วไปรับตัววีระชัยจากโรงเรียนคริสต์ธรรมศึกษาในลักษณะเช่นเดียวกับผู้ปกครองรับเด็กโดยลวงว่าจะพาไปเที่ยวต่างจังหวัด และนำตัวไปซ่อนไว้ที่บ้านญาติในตำบลจันทึก อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และกลุ่มผู้ก่อการส่งจดหมายเรียกค่าไถ่ 200,000 บาทจากครอบครัวแลกกับชีวิตของวีระชัย โดยให้นำถุงเงินโยนลงบนด้านซ้ายของทางรถไฟระหว่างสถานีจันทึกกับสถานีปากช่อง โดยผู้ก่อการจะปักธงสีขาวไว้เป็นสัญลักษณ์จุดโยน หากเลยกำหนดจะฆ่าเด็กทันที แต่ด้วยความมืดในยามค่ำคืน ผู้ปกครองของวีระชัยจึงไม่เห็นธงสัญลักษณ์ ทำให้ไม่สามารถโยนเงินค่าไถ่ลงไปได้ แม้จะพยายามค้นหาอีกโดยสนธิกำลังกับตำรวจก็ไม่พบธงสีขาวแต่อย่างใด กลุ่มผู้ก่อการจึงฆ่าเหยื่อโดยนำตัววีระชัยออกไปที่ไร่ข้าวโพดตรงจุดที่ขุดหลุมดินไว้ ห่างจากบ้านราว 50 เมตร จากนั้นปิ่นจับมือกิ่งแก้วแทงวีระชัยซึ่งหลับอยู่บนตักกิ่งแก้วจนวีระชัยตื่นและเรียกกิ่งแก้วจนกิ่งแก้วสะเทือนใจ จากนั้นผู้ก่อการคนอื่น ๆ ได้ไล่กิ่งแก้วให้กลับบ้านไป แล้วแทงวีระชัยซ้ำและหักคอวีระชัยจนแน่ใจว่าขาดใจตาย จากนั้นฝังศพโดยใช้ดินอุดปากเพื่อข่มวิญญาณไว้

ต่อมามีการจับกุมกิ่งแก้วและผู้ก่อการเกือบทั้งหมดได้ โดยเริ่มจากจับกุมกิ่งแก้ว ทองสุข และทองม้วนในวันที่ 19 ตุลาคม โดยกิ่งแก้วได้ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และกล่าวว่าตนไม่อยากฆ่าเด็ก แต่ด้วยสถานการณ์พาไปและถูกแฟนหนุ่มบังคับจึงต้องลงมือฆ่า และได้บอกเบาะแสซึ่งนำไปสู่การจับกุมปิ่นและเกษมได้ในเวลาต่อมา[3][4] เชาวเรศน์ จารุบุณย์กล่าวในหนังสือของเขาว่า "กิ่งแก้วในเวลานั้นออกทุกช่วงข่าว ไม่ต่างจากดาราเลย"[1]
 
การตัดสินคดีและการดำเนินการทางกฎหมาย
หลังจากกิ่งแก้วและผู้ก่อการถูกจับกุมได้นำตัวผู้ต้องหาส่วนใหญ่ฝากขังไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลบางรัก ในระหว่างนั้นกิ่งแก้วพยายามฆ่าตัวตายหลังจากถูกตำรวจกระเซ้าเรื่องโทษทัณฑ์ที่จะได้รับ[4]และพร่ำเพ้อถึงวีระชัย จากนั้นได้นำตัวไปฝากขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง[3]

จากนั้นในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2522 พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นใช้อำนาจตามความในมาตรา 200 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 สั่งลงโทษประหารชีวิตกิ่งแก้ว เสริม และปิ่น โดยดำเนินการประหารชีวิตในวันต่อมา โดยกิ่งแก้วถูกนำตัวมาจากทัณฑสถานหญิงกลางมายังเรือนจำกลางบางขวาง แล้วประหารเป็นคนแรกในเวลา 17.40 น.[4]ระหว่างการดำเนินการการประหารชีวิต หลังจากประหารกิ่งแก้วและตรวจอย่างคร่าว ๆ ว่าถึงแก่ความตายแล้ว[1] จึงนำตัวลงจากหลักประหารเพื่อประหารผู้ต้องโทษรายต่อไป จากนั้นไม่นานพบว่ากิ่งแก้วพยายามส่งเสียงเพื่อร้องขอชีวิตและพยายามลุกขึ้น[5] เมื่อเจ้าพนักงานเห็นเช่นนั้นจึงนำตัวขึ้นหลักประหารและเลื่อนจุดยิงไปทางขวาเล็กน้อยเพื่อยิงซ้ำ กิ่งแก้วจึงสิ้นใจลง ต่อมาสันนิษฐานว่าหัวใจของกิ่งแก้วนั้นตั้งอยู่กลางอกทางซ้ายค่อนมาทางด้านขวามากกว่าคนปกติ จากนั้นจึงดำเนินการประหารเกษมและปิ่นเป็นรายต่อไปตามลำดับ[1] โดยปิ่นก็ต้องยิงถึงสองชุดเช่นเดียวกับกิ่งแก้ว[5] โดยในวันดังกล่าว ประถม เครือเพ่ง เป็นผู้ทำหน้าที่เพชฌฆาต ใช้กระสุนทั้งสิ้น 25 นัดสำหรับกิ่งแก้ว[3] ส่วนทองม้วนต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ทองสุกและสะธิต้องโทษจำคุก 20 ปี และเร่งรัดให้จับตัวสะธิให้ได้โดยเร็ว[2]
 
กิ่งแก้วในสื่อปัจจุบัน
 
หลังการประหารชีวิต มีการเล่าลือถึงกระบวนการดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรมและการประหารชีวิตที่เป็นการทรมานต่อกิ่งแก้ว ตลอดจนวิญญาณของกิ่งแก้วที่คอยตามหลอกหลอนคนในบริเวณรอบเรือนจำกลางบางขวาง เผยแพร่บนสื่อต่าง ๆ จนเผยแพร่ออกไปมาก

ในภาพยนตร์ เพชฌฆาต ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2557 เป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นอิงจากประวัติของเชาวเรศน์ จารุบุณย์ เพชฌฆาตยิงเป้าของประเทศไทยที่ได้ยิงเป้านักโทษประหารรายสุดท้ายก่อนเปลี่ยนวิธีการประหารชีวิต มีฉากหนึ่งที่ทำการประหารนักโทษหญิงดวงใจ ซึ่งลักษณะคล้ายกับกรณีของกิ่งแก้ว โดยฉากดังกล่าวนักโทษหญิงได้ร้องไห้ฟูมฟายด้วยความกลัวและเชื่อว่าตนไม่ควรต้องโทษประหารชีวิต ตัดภาพกับนักโทษชายในคดีเดียวกันที่ตะโกนว่าจะประหารภรรยาตน (ดวงใจ) ทำไมเพราะไม่ได้เป็นผู้ฆ่า ขอให้ยิงแต่ตนซึ่งเป็นผู้ฆ่า จากนั้นภาพตัดไปในห้องประหารชีวิต เมื่อผูกมัดนักโทษหญิงแล้ว เชาวเรศเข้ามาในห้องแล้ววันทยหัตถ์ไปยังเป้ายิงและกรรมการสักขีพยาน เมื่อถึงช่วงลั่นไกยิง เมื่อเจ้าพนักงานโบกธงแดงให้สัญญาณยิง ภาพตัดไปยังหญิงดังกล่าวที่โบกผืนผ้าสีแดงข้างขบวนรถไฟที่กำลังแล่นด้วยความเร็ว จากนั้นภาพจึงตัดสลับกลับไปยังห้องประหารชีวิต เชาวเรศน์ยิงปืนเอาไปชุดหนึ่ง นักโทษหญิงดังกล่าวได้แน่นิ่งไป ตัดกลับไปที่หญิงที่โบกธงดังกล่าวและรถไฟที่เคลื่อนผ่านออกไปพ้นตน จากนั้นภาพกลับไปที่ห้องประหารชีวิตอีกครั้ง เชาวเรศน์วันทยหัตถ์ไปที่เป้ายิงแล้วเปลี่ยนไปที่อีกหลักหนึ่งด้านซ้ายมึง ในเวลาเดียวกันเจ้าหน้าที่นำตัวนักโทษชายเข้าสู่ห้องโดยที่ยังกล่าวเช่นเดิม ระหว่างพันธนาการตัวนักโทษชายภาพตัดที่นักโทษหญิงดวงใจที่เจ้าหน้าที่นำร่างนอนบนพื้นห้อง แพทย์เข้าตรวจโดยคลำชีพจร และรายงานเวลาการเสียชีวิตต่อสักขีพยาน จากนั้นระหว่างรอสัญญาณยิง นักโทษชายได้เรียกนักโทษหญิงดวงใจจนมีเสียงคล้ายอาเจียน เจ้าหน้าที่จึงรุดเข้าไปที่ร่างนักโทษหญิง เห็นว่ากำลังกระอักเลือดอยู่ มีเจ้าพนักงานคนหนึ่งจะบีบร่างนักโทษหญิงให้เสียเลือดมากจนตาย แต่เชาวเรศน์ได้แย้งว่าต้องทำตามระบบและให้คว่ำร่างไว้ก่อน แล้วจึงไปดำเนินการประหารชีวิตนักโทษชายต่อ โดยก่อนถึงการลั่นไก ภาพตัดไปที่หญิงดังกล่าวกำลังขอร้องให้หยุดฆ่าเด็ก และภาพตัดกลับมาที่เชาวเรศน์ยิงปืนเข้าสู่ร่างนักโทษชาย[6]

บนเว็บไซต์สำนักข่าวทีนิวส์ รายงานว่าหลังจากกิ่งแก้วลักพาตัวเด็กและกลุ่มผู้ก่อการส่งจดหมายเรียกค่าไถ่ไป ผู้ปกครองได้โยนเงินผิดจังหวะ จึงพลาดจุดไป กิ่งแก้วได้พยายามห้ามแล้วแต่ผู้ก่อการอื่นได้ทารุณวีระชัยจนปางตายแล้วแยกย้ายกันไป เมื่อพบศพของวีระชัย ได้พบดินในหลอดลมเนื่องจากฝังร่างตอนที่ยังไม่ถึงแก่ความตาย จับจากจับกุมกิ่งแก้วแล้วได้ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและร้องว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดในกรณีนี้อย่างซ้ำไปซ้ำมาและพยายามฆ่าตัวตายเพื่อหนีโทษประหารชีวิต จากนั้นในวันดำเนินการประหารชีวิต เพชฌฆาตยิงทีละนัดถึง 15 นัด อีกทั้งได้กล่าวอ้างว่าพัสดีที่อยู่ในเหตุการณ์บันทึกว่ากิ่งแก้วพร่ำเพ้อว่าตนไม่มีความผิด และเมื่อเพชฌฆาตยิงกระสุนชุดแรก กิ่งแก้วก็ยังคงร้องเช่นเดิมจนเพชฌฆาตตกใจ ต้องซ้ำครั้งที่สอง แต่ยังเป็นเช่นเดิม แพทย์และพัสดีตรวจร่างเห็นว่าหัวใจอยู่ด้านขวา จึงเลื่อนเป้าให้ตรงแล้วยิงอีกครั้งจนถึงแก่ความตายพร้อมประโยคสุดท้าย "ฉันไม่ผิด" และหลังการประหารชีวิตยังคนมีเสียงของกิ่งแก้วดังจากห้องเก็บศพและปรากฏตัวในรูปวิญญาณให้เห็นที่เรือนจำกลางบางขวาง โดยคาดว่าวิญญาณกำลังรอเปิดเผยเรื่องราวที่แท้จริงอยู่ โดยรายงานนี้ได้แนบคลิปเล่าเรื่องดังกล่าวบนยูทูบอีกด้วย[7]

ส่วนหนังสือ "ผู้หญิง การจำคุก และโทษประหารชีวิตในประเทศไทย" ของสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้กล่าวถึงการประหารชีวิตกิ่งแก้วว่า[8]

คุณกิ่งแก้วเป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกประหารชีวิตในข้อหาสมรู้ร่วมคิดในการฆาตกรรมเด็ก (ซึ่งเธอยังคงปฏิเสธข้อกล่าวหาจนวาระสุดท้าย) ... การประหารชีวิตคุณกิ่งแก้วเป็นกรณีที่สยองขวัญอย่างยิ่ง เพราะเธอยังมีลมหายใจอยู่หลังจากถูกกระสุนสิบนัดกระหน่ำไปที่หน้าอก และผู้คุมพยายามที่จะเร่งการเสียเลือดและบีบคอเธอให้ตายสนิท
ถึงกระนั้นก็ตาม กรมราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่างปฏิเสธข้อเท็จจริงบางอย่างที่กล่าวมาข้างต้น

เมื่อไทยรัฐได้สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางบางขวางที่อยู่ในเหตุการณ์การประหารชีวิต ได้ปฏิเสธถึงการทรมานกิ่งแก้วระหว่างการประหาร และกล่าวว่าตนไม่เคยพบวิญญาณหรือเสียงร้องเลย อาจจะเป็นเรื่องที่ผู้ขับรถรับจ้างบริเวณนั้นแต่งขึ้นมาเพื่อเรียกค่าจ้างรถเท่านั้น[4]

ส่วนอรรถยุทธ พวงสุวรรณ อดีตพี่เลี้ยงผู้ต้องโทษประหารชีวิต และอดีตเจ้าพนักงานเรือนจำกลางบางขวาง กล่าวในคลิปแสดงงานค้นคว้าข่าวและเอกสารที่เกี่ยวข้องถึงประเด็นนี้และค้านประเด็นต่าง ๆ ที่ไม่เป็นความจริง เช่น

กิ่งแก้วไม่รู้ไม่เห็นการฆ่า อรรถยุทธได้ค้านว่ากิ่งแก้วสามารถนำตำรวจไปยังพื้นที่ฝังร่าง ซึ่งห่างไปไกลจากบ้าน 2 กิโลเมตร จึงเป็นไปไม่ได้ที่กิ่งแก้วจะไม่รับรู้ในคดีนี้ กิ่งแก้วถูกจับขณะกำลังช่วยเด็กออกจากหลุมฝัง อรรถยุทธได้ค้านว่ากิ่งแก้วถูกจับที่บ้านห่างจากบริเวณดังกล่าวกิ่งแก้วปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา อรรถยุทธได้ค้านว่ากิ่งแก้วปฏิเสธเพียงแค่ตอนต้นเท่านั้น แต่หลังจากการสืบสวนและสอบเค้นกิ่งแก้วจึงได้สารภาพและแจ้งข้อเท็จจริงในคดีทั้งหมดเพชฌฆาตมีอาการตกใจเมื่อยิงปืนชุดแรก อรรถยุทธได้ค้านว่า นายประถม เครือเพ่ง เพชฌฆาตในวันนั้น ได้ให้สัมภาษณ์ว่าตนรู้สึกเฉย ๆ เหมือนประหารผู้ต้องโทษคนอื่นๆกิ่งแก้วร้อง "ฉันไม่ผิด" ตลอดแม้หลังถูกยิงชุดแรกไปแล้ว อรรถยุทธได้ค้านว่ากิ่งแก้วกล่าวสั้น ๆ ว่าให้นำตนไปรักษาตัวให้พ้นจากอันตรายหลังจากถูกยิงชุดแรกและนำตัวลงจากหลักประหารกิ่งแก้วถูกบีบคอ อุดจมูก กลิ้งตัว และเค้นเลือด อรรถยุทธได้ค้านว่าในการประหารชีวิตจะมีสักขีพยานจากหน่วยงานต่าง ๆ หากทำไม่ถูกต้องสักขีพยานจะค้านทันทีและผู้ที่กระทำอาจจะเป็นผู้ต้องโทษคดีฆ่าคนตาย หัวใจของกิ่งแก้วอยู่ด้านขวา อรรถยุทธได้ค้านว่าเพียงแค่หัวใจอยู่กลางอกมากกว่าปกติ (หัวใจกินขวา) วิญญาณนางกิ่งแก้ววนเวียนในเรือนจำกลางบางขวาง และส่งเสียง "ฉันไม่ผิด" อรรถยุทธได้ค้านว่าไม่มีเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางบางขวางเคยพบวิญญาณกิ่งแก้วเลย รวมทั้งอรรถยุทธเอง แม้จะได้เข้าเวรยามในจุดที่ใกล้ห้องประหารชีวิตและช่องเก็บศพที่สุดและในวันดังกล่าวมีการประหารชีวิตผู้ต้องโทษ ก็ไม่เคยพบวิญญาณตนใดเลย นอกจากนี้อรรถยุทธกล่าวว่ามีครั้งหนึ่งที่ผู้สื่อข่าวได้ให้บทพูดเรื่องวิญญาณกิ่งแก้วเพื่อให้ตนเล่า แต่อรรถยุทธได้ปฏิเสธไปและให้เหตุผลว่าเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงและหลอกลวงประชาชน[3]
 
 
 
 
โทษประหารชีวิตในประเทศไทย
 
โทษประหารชีวิตในประเทศไทย เป็นบทลงโทษผู้กระทำความผิดขั้นสูงสุด ตามประมวลกฎหมายอาญาของประเทศไทย โดยใน พ.ศ. 2564 ประเทศนี้เป็นหนึ่งใน 54 ชาติที่ยังคงโทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมายและในทางปฏิบัติ ส่วนในชาติอาเซียน 10 ประเทศ มีเพียงประเทศกัมพูชาและฟิลิปปินส์ที่การประหารชีวิตผิดกฎหมาย ถึงแม้ว่าประเทศลาวและบรูไนไม่ได้ทำการประหารชีวิตมาหลายทศวรรษแล้วก็ตาม[1]

ประเทศไทยยังคงโทษประหารชีวิต แต่ดำเนินการเป็นระยะ ๆ เท่านั้น นับตั้งแต่ พ.ศ. 2478 มีการประหารชีวิตแล้ว 326 คน โดย 319 คนประหารด้วยการยิงเป้านักโทษรายสุดท้ายที่ถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า คือสุดใจ ชนะ และ 7 คนประหารชีวิตด้วยการประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษ การประหารชีวิตครั้งล่าสุดของไทย ในรอบ 9 ปี เกิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2561 คือธีรศักดิ์ หลงจิ ณ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2561 มีนักโทษ 510 คนที่อยู่ในแดนประหาร[2]

กฎหมายไทยอนุญาตให้จัดโทษประหารชีวิตแก่อาชญากรรม 35 รูปแบบ ซึ่งรวมถึง การกบฏ, ฆาตกรรม และการค้ายาเสพติด[3]

 
การดำเนินการ
 
เมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ประหารชีวิตผู้ใดแล้ว ศาลที่เป็นเจ้าของคดีจะได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ส่งไปยังผู้บัญชาการเรือนจำในท้องที่ที่ศาลนั้นตั้งอยู่ หมายจะระบุถึงชื่อโจทก์ จำเลย ฐานความผิด จำเลยต้องโทษตามบทกฎหมายใด มาตราใด พร้อมคำสั่งว่าภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2479 ให้ประหารชีวิตจำเลย เมื่อผู้บัญชาการเรือนจำได้รับหมายดังกล่าวแล้ว จะนำนักโทษไปประหารชีวิตในทันทีไม่ได้ ต้องรอให้ครบกำหนด 60 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาตามมาตรา 262 ถ้านักโทษหรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องได้ยี่นฎีกาขอ พระราชทานอภัยโทษ และทรงยกเรื่องราวมาก่อนครบ 60 วัน ก็ดำเนินการประหารชีวิตได้

ในทางปฏิบัติ เมื่อนักโทษได้ยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว ต้องรอฟังพระบรมราชวินิจฉัยเสียก่อน จึงจะดำเนินการขั้นต่อไป ฎีกาของนักโทษประหารให้ยื่นได้ครั้งเดียวเท่านั้น ในการประหารชีวิตนักโทษนั้น ให้มีคณะกรรมการเป็นผู้ดำเนินการ ประกอบด้วย ผู้บัญชาการเรือนจำในท้อง ที่ที่ทำการประหาร เป็นประธานกรรมการ เจ้าพนักงานเรือนจำระดับหัวหน้าฝ่าย แพทย์การประหารชีวิตส่วนมากจะทำที่เรือนจำกลางบางขวาง ซึ่งกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีหรือผู้แทนร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย โดยกรมราชทัณฑ์จัดผู้แทนไปดูแลความเรียบร้อยในการประหารชีวิต ก่อนวันประหารชีวิต ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการพิมพ์ลายนิ้วมือของผู้ถูกประหาร พร้อมทั้งรับแผ่นพิมพ์ลายนิ้วมือของนักโทษที่มีอยู่ในสำนวนและหมายศาลมาทำการตรวจสอบ การตรวจสอบนั้นให้สอบกับแผ่นพิมพ์ลายนิ้วมือที่เก็บอยู่ ณ กองทะเบียนประวัติอาชญากร ตามเลขคดีและนามผู้ต้องโทษ เมื่อตรวจแล้วรายงานผลการตรวจสอบและส่งแผ่นพิมพ์ลายนิ้วซึ่งได้จัดการพิมพ์ขึ้นคราวนี้ 1 ฉบับ กับแบบพิมพ์ลายนิ้วมือของผู้ต้องโทษที่เอาไปจากสำนวนตามหมายศาลไปยังคณะกรรมการ เรือนจำซึ่งมีหน้าที่ต้องทำการประหารทำการตรวจสอบคดี ตำหนิ รูปพรรณตามทะเบียนรายตัว ทำบันทึกไว้เป็นหลักฐานเพื่อมิให้มีการประหารผิดตัว

เมื่อถึงกำหนดวันประหารชีวิต เจ้าพนักงานเรือนจำจะจัดนิมนต์พระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนาให้นักโทษที่ถูก ประหารที่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนนักโทษที่มิได้นับถือศาสนาพุทธ มีความปรารถนาจะประกอบพิธีกรรมตามศาสนาก็อนุญาตได้ตามสมควร หากนักโทษมีความประสงค์จะขอทำพินัยกรรมก็จะจัดการทำให้จัดหาอาหารมื้อสุดท้ายให้นักโทษก่อนนำไปประหาร ผู้บัญชาเรือนจำจะนำคำสั่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พร้อมด้วยสำเนาคำพิพากษาอ่านให้นักโทษฟัง นำนักโทษประหารไปยังที่จัดเตรียมไว้ คือห้องฉีดยาพิษ ผู้ได้รับมอบหมายดำเนินการฉีดยาพิษให้นักโทษ ตามลำดับ ให้คณะกรรรมการซึ่งคือแพทย์ทำการตรวจนักโทษว่าได้เสียชีวิตแล้วจริง พิมพ์ลายนิ้วมือลงนามรับรองว่าเป็นลายนิ้วมือของนักโทษประหารจริง ส่วนศพถ้ามีญาติมารับก็อนุญาตถ้าไม่มีญาติมาขอรับ เรือนจำจะดำเนินการให้ ตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ กำหนดให้ประหารชีวิตก่อน 07.00 น. ตั้งแต่พ.ศ. 2505 ได้เปลี่ยนมาดำเนินการใน เวลาเย็น ตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นต้นไป
 
 
 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้